NT มุ่งขับเคลื่อนภารกิจผลักดันระบบงานภาครัฐสู่รัฐบาลดิจิทัลผ่านสถานะความเป็นกลางด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและดิจิทัล เดินหน้ายกระดับระบบคลาวด์กลางภาครัฐต่อเนื่อง เปิดให้บริการNational Single Window เพิ่มความสะดวกเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจสำหรับการนำเข้า-ส่งออก มั่นใจระบบเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่ADCคืบกว่า 90% พร้อมหนุนASEAN Digital Hub
พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ว่า ภายหลังการควบรวมกว่า 2 ปี NT ยังคงอยู่ระหว่างเร่งหลอมรวมศักยภาพของสององค์กรเดิมคือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เข้าด้วยกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในด้านการลงทุนและใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยเฉพาะในด้านโครงข่าย สินทรัพย์ และบุคลากร โดยวางเป้าหมายสำคัญในการผลักดันนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการขับเคลื่อนระบบงานภาครัฐไปสู่รัฐบาลดิจิทัล พร้อมกับการพัฒนาและขยายบริการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและดิจิทัลผ่านสถานะความเป็นกลาง
สำหรับความคืบหน้าในการสนับสนุนโครงการที่เป็นนโยบายภาครัฐในครึ่งปีแรกของปี 2566 นั้น พันเอก สรรพชัยย์ฯ กล่าวว่า NT มีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ อาทิ โครงการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ NT ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการจัดหาทรัพยากรด้านการประมวลผล (Computing Resource) ให้กับภาครัฐในรูปแบบการให้บริการ Cloud Service รองรับหน่วยงานรัฐให้เข้าถึงทรัพยากรด้านคลาวด์มาตรฐานสากล โดยเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลภาครัฐด้วยเทคโนโลยีใหม่ทันสมัยเป็นการขยาย Capacity รองรับการใช้งานภาครัฐที่มีความต้องการสูงขึ้น รวมทั้งได้เพิ่มบริการ Market Place บน GDCC ให้บริการแพลตฟอร์มไอที แอปพลิเคชันใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และมองไปในอนาคตที่จะเป็นแพลตฟอร์มกลางที่เปิดให้พันธมิตรทุกรายเข้ามาเชื่อมต่อ โครงการ ASEAN Digital Hub ขณะนี้มีความคืบหน้าในการจัดสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำ ASIA Direct Cable (ADC) กว่า 90% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ทดสอบระบบฯ รวมถึงส่งมอบสิทธิการใช้งานได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2567 โครงการนี้ส่งผลให้จะช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบกิจการคอนเทนต์ (Content Provider) รายใหญ่เข้ามาตั้งฐานข้อมูลในประเทศไทย โดยเริ่มมีผู้สนใจเริ่มติดต่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านมีข้อจำกัดด้านทรัพยากร
ธุรกิจ Mobile ที่ตลาดลูกค้ารายย่อยมีความอิ่มตัว ผลการดำเนินการของ NT เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ในส่วนของพันธมิตรมีการปรับลดปริมาณการใช้งานลง จึงทำให้ผลการดำเนินงานในภาพรวมลดลง ส่วนการดำเนินโครงการบริการ 5G นั้นจะมีการให้บริการใน 2 รูปแบบคือ บริการ 5G Retail ที่จะใช้คลื่นความถี่ 700 MHz จะโอนย้ายลูกค้าจากคลื่น 850 MHz ที่จะหมดลงในปี 2568 โดยมีแนวทางในการเพิ่มลูกค้าด้วยการเพิ่มจำนวน Dealer และ บริการ 5G Solution ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ คาดว่าจะสามารถเริ่มเปิดให้บริการได้ในปี 2567 นอกจากนี้ยังมีบริการ Trunked Mobile ที่ NT มุ่งแนวทางที่จะวางโครงข่ายให้ครอบคลุมเพื่อให้หน่วยงานราชการมาร่วมบูรณาการใช้ร่วมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน โครงข่าย และบุคลากร โดย Trunked Mobile มีรายได้ในปีนี้กว่า 400 ล้านบาทจากเดิมที่มีประมาณ 80 ล้านบาท
ในด้านการบริหารธุรกิจดาวเทียม ที่ NT เป็นผู้ให้บริการดาวเทียมไทยคม 4 บนวงโคจร 119.5E และไทยคม 6 วงโคจร 78.5E ซึ่งใกล้จะหมดอายุการใช้งาน NT อยู่ระหว่างการเจรจากับภาคีต่าง ๆ ในการประมูลส่งดาวเทียมดวงใหม่ โดยมองบทบาทของ NT ในการเป็นหน่วยงานที่บูรณาการการใช้งานดาวเทียมของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดเพื่อไม่ให้ภาครัฐต้องลงทุนเกินความจำเป็น นอกจากนี้ NT ยังมีการเจรจาความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์บริการดาวเทียมวงโคจรต่ำรายต่าง ๆ โดยเฉพาะ OneWeb ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างสถานีเกตเวย์ที่สถานีดาวเทียมสิรินธร จ.อุบลราชธานี
ส่วนการจัดระเบียบสายสื่อสารและนำสายสื่อสารลงท่อร้อยสายใต้ดินนั้น NT มีความพร้อมที่จะให้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์กรภาครัฐ ผู้ประกอบการโทรคมนาคม ฯลฯ ด้วยท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินซึ่งพัฒนาเป็นระบบ Single Last Mile ที่เชื่อมต่อกับบ้านลูกค้าแล้วครอบคลุมพื้นที่ในเขตเมืองทั่วประเทศ 4,450 กิโลเมตร NT ผู้ให้บริการต่าง ๆ จึงได้รับความสะดวกในการเช่าใช้งานด้วยหลักการ Infrastructure sharing ที่จะช่วยลดการลงทุนในการสร้างและบำรุงสายสื่อสารของโอเปอเรเตอร์ทุกราย โดยสามารถลดต้นทุนจากการเช่าตามที่ใช้จริงและตามระยะเวลาที่มีลูกค้าใช้บริการ และยังมีส่วนร่วมในการช่วยรักษาทัศนียภาพของเมืองให้มีความสวยงามอีกด้วย
ทั้งนี้ ผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2566 NT ประมาณการรายได้ 42,447 ล้านบาท รายจ่าย 40,900 ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด 2,185 ล้านบาท) ขาดทุนสุทธิ 638 ล้านบาท